Your cart is currently empty!
Life in Q3 and Q4 Year 2015
ไหน ๆ ก่อนหน้านี้เคยเขียน Q1 and Q2 ไปแล้ว ก็เลยสรุป Q3 and Q4 ในปี 2015 บ้าง (จริง ๆ นึกว่า Q3 เคยเขียนไปแล้ว แต่พอกลับมาดู อ้าวยังไม่ได้เขียนนี่หว่า) จะได้จบ ๆ ครบซีรีย์กันไป
ซื้อ iPad แล้วชีวิตเปลี่ยน
เอาจริง ๆ iPad เป็น 1 ใน device ที่ตอนออกใหม่ ๆ เราไม่รู้ว่ามันไว้ทำอะไร โทรศัพท์ก็ไม่ได้ ใช้แบบคอมก็ได้ เคยซื้อ iPad 1 มาก่อนหน้านี้ แล้วก็พบว่ามันทำงานพวกเขียนโค้ดลำบากมากนะ (เคยลองเขียนโค้ดด้วย iPad 1 มาก่อน =___=) เลยให้แม่ไปใช้ที่บ้านแล้ว ซึ่งปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้ว
ตอนกลางปีเลยซื้อ iPad Mini 2 มาใช้ ซึ่งขนาดกำลังดีเหมาะมือ ตอนซื้อกะว่าเอามาอ่าน E-Book หาความรู้เพิ่ม + เอามาเทสเว็บลูกค้า แต่ทำไปทำมาตอนนี้เอาไว้อ่านการ์ตูนมากกว่า เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนจริง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูน (เพราะขี้เกียจซื้อเป็นเล่ม ไม่มีที่เก็บ T_T) พอมี iPad แล้วอ่านทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ทำงานทำการเลย
และแล้วก็ถึงเวลาเปลี่ยน Macbook
หลัง จากที่ Macbook Air 11 นิ้วตัวเก่าประจำการมา 3 ปี ก็รู้สึกว่ามันอืด ๆ บ่อยแล้วนะ เลยตัดสินใจซื้อ Macbook Pro Retina 13 นิ้วมาตอนตุลาฯ
ซึ่ง ความโชคดีคือหลังจากซื้อมาได้อาทิตย์นึง Apple ก็ปรับขึ้นราคาสินค้าในไทยทั้งหมด ทำให้ถ้าสั่งตอนนี้จะแพงขึ้นจากเดิมประมาณ 7,000 บาท
เครื่อง เก่าพื้นที่แค่ 64GB ไม่พอใช้มาก พอจัดเครื่องใหม่เลยกดไป 256GB เลย (512GB ไม่ไหว ไม่สู้ราคา T_T) + อัพแรม 16GB เอาให้เร็วทะลุนรก แต่เอาจริง ๆ พอใช้ไปใช้มารู้สึกบางเว็บ เช่น Facebook นี่ตัวกินแรมเลย แรมเท่าไหร่ก็ยังมีกระตุกเบา ๆ
เรียน IELTS ที่ ม.เกษตร
ถ้าเกิดย้อนไปอ่านโพส Q1 and Q2 จะเห็นเราพูดถึงเรื่องเรียนต่อ ซึ่งตอนแรกดูพวกอังกฤษ เยอรมันไว้ ซึ่งมันต้องใช้ IELTS ก็เลยไปหาที่เรียน
IELTS ประกอบไปด้วย 4 พาร์ท (Listening, Reading, Writing, Speaking) ซึ่งเราอ่อน 2 พาร์ทหลังมาก แต่พวกโรงเรียนสอน IELTS ดัง ๆ ส่วนใหญ่คอร์สละ 20,000 บาท ไม่อยากเสียดายตังค์มาก เลยไปเรียนที่ ศูนย์ภาษา ม.เกษตร ประมาณ 4,000 บาท
ผู้สอนเป็นฝรั่ง มาจากศูนย์ภาษาธรรมศาสตร์ สอนดีมาก ๆ ได้ฝึกในด้านที่ไม่ถนัดเยอะ การสอบ IELTS มันจะมีกลุ่มคำศัพท์ของมันที่เราต้องรู้ เพื่อเอามาใช้เวลา Reading / Writing พอไปเรียนเราก็ได้รู้อะไรมากขึ้นเยอะ
สรุปว่าแฮปปี้มาก ถ้าใครสนใจอยากติว IELTS แต่ทุนทรัพย์ไม่มาก ที่นี่ก็โอเคเลยนะ ได้มาเดินดูบรรยากาศมหาลัย กินข้าวโรงอาหารราคาถูก ๆ ด้วย
ส่วนที่ที่เรียนแพง ๆ ที่รู้มาคือคลาสเค้าจะเล็กกว่า ไม่ถึง 10 คน (ของม.เกษตรเรียนกัน 20 คนได้) แล้วก็มีบริการตรวจ Writing ให้ด้วย คือเขียนแล้วเอามาส่งได้ จะมีอาจารย์ตรวจให้ นอกจากนั้นก็มีแบบหนังสือข้อสอบซีรอกส์ให้ไปทำที่บ้านฟรี ไม่ต้องซื้อเล่มละ 500 บาทเอง ก็คุ้มราคาแหละเนาะ
สอบ IELTS ครั้งแรกในชีวิต
สอบ IELTS ครั้งแรกในชีวิต ได้คะแนนรวม 7.0 ได้ Listening = 8.5, Reading = 6.5, Writing = 6.5, Speaking = 6.0
คะแนนโอเคแล้ว ยื่นมหาลัยระดับกลาง ๆ ได้เกือบหมด เลยไม่ได้สอบต่อ รู้สึกเศร้าเหมือนกันที่ Speaking ได้น้อยมากกกก สงสัยพูดไม่รู้เรื่อง
ไปขายเสื้องานรวมเส้นกับ Deehub
Deehub ได้เป็นสปอนเซอร์เสื้อในงานรวมเส้น ก็เลยไปตั้งบู๊ทขายเสื้อลายนักวาดดัง ๆ ในงาน แถมได้เจอกับนักวาดเก่ง ๆ เยอะแยะมากมาย รู้สึกชอบมาก
ได้ประสบการณ์ในการขายเสื้อตลอด 2 วัน การขายของออฟไลน์นี่มีอะไรให้คิดเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดร้าน การวางสินค้า การเรียกลูกค้า การดูแลลูกค้าที่เข้ามาในบู๊ท ฯลฯ
วงการนักวาดรูปเป็นวงการที่เราไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ พอมาเดินในงานก็เลยได้เห็นว่านักวาดไทยวาดสวยโคตร ๆ ขนาดไหน (มีบู๊ทรับวาดรูปเพียบ ราคาตั้งแต่ 150 – 250 บาทต่อรูป) จนสุดท้ายโดนรูปของพี่สะอาด นักวาดการ์ตูนที่ชอบมากกกไป 1 รูป แต่พี่แกคิวยาวมาก เค้าเลยบอกว่าเดี๋ยววาดแล้วส่งมาให้ทางไปรษณีย์

อบรม Web Design ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
ปีนี้ได้มาอบรมที่ กฟผ. ทั้งหมด 2 รอบ ซึ่งก็ได้น้องโอมแห่ง Storylog.co มาสอนด้วยกันอีกเช่นเคย
เรา คิดว่าการสอนที่ กฟผ. ให้อะไรนอกเหนือจากการสอนที่ Designil School อย่างเดียวเหมือนกันนะ เพราะเราต้องสอนให้คนที่อายุมากกว่าค่อนข้างมาก ซึ่งก็ต้องมีเทคนิควิธีในการสอน รวมถึงจัดหา Tool ต่าง ๆ ที่ใช้ได้ทุกคนมาสอนอีกด้วย
ปี 2016 นี้ก็มีอีก 2 คลาสเช่นเคย ตอนเดือน 6 กับเดือน 10
อบรม Responsive Workshop ที่ BJC
ยอมรับว่าตอนแรกไม่รู้ว่า BJC ทำอะไรบ้าง จนมารู้ทีหลังว่าเค้าทำแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึง Asia Books ร้านหนังสือที่เราเข้าประจำ แถมซื้อบ่อยด้วย พอมาสอนทีมที่ทำ Asia Books Online พอดี ทีนี้กดสั่งซื้อหนังสือรัว ๆ เลยเพราะโปรเยอะมากก
ครั้งนี้ได้ไปสอนคอร์ส Responsive Workshop for Designers / Developers / Marketers ทั้งหมด 3 วัน ซึ่งก็เรียนกันสนุก ๆ สอน Bootstrap เพิ่มเข้าไปจากคอร์สทั่วไปด้วย
Designil School ก็ยังสอนอยู่นะ
ปี นี้ได้ลองใช้บริการห้องสอนหลายที่มาก ไม่ว่าจะเป็น Launchpad หรือ Growth Cafe ที่สยาม ซึ่งแต่ละแห่งก็มีข้อดีเรื่องการเดินทาง และราคา แตกต่างกันไป
คอร์ส ปีนี้จะเน้น Web Coding พวก PSD to HTML/CSS กับ Responsive Workshop เป็นส่วนมาก ซึ่งคอร์สแรกมันคือ Fundamental ที่สำคัญมาก ๆ ของการทำเว็บไซต์ ส่วนคอร์สหลังเป็นมาตรฐานปัจจุบันที่เว็บยุคนี้ควร Responsive แล้ว
ปี 2016 คงต้องเริ่มมาสอน SASS อะไรพวกนี้ น่าจะทำให้คนทำเว็บไทยยกระดับความเมพขึ้นไปอีกครับ
ปีแห่งการตามล่าที่นั่งทำงาน
เนื่องจากช่วงปลายปีทำตัวเป็นฟรีแลนซ์มาก ต้องหาที่นั่งทำงานชิก ๆ คูล ๆ ที่มีไวไฟและปลั๊กไฟ รวมถึงถ้าเดินทางสะดวกได้ด้วยก็จะดีมาก เคยไปนั่งรถท่องรอบกรุงเทพฯ หาร้าน 24 ชั่วโมงกับนัทกับแทนนี่ ซึ่งก็สรุปร้านที่ใช้บริการในปีนี้ดังนี้
- ร้าน READ ม.เกษตร: ร้านนี้มีทั้งข้าว ของกินเล่น น้ำ ครบเลย ราคาโอเค มีไวไฟและปลั๊กไฟให้แทบทุกโต๊ะ เปิด 24 ชั่วโมง แต่ข้อเสียคือหลัง ๆ ไปแล้วพบว่าไวไฟช้ามาก เลยเลิกไปในที่สุด
- ร้าน My Cafe the Library เกษตรนวมินทร์: ร้านนี้มีทั้งของกิน และของหวานเช่นกัน แต่ราคาโหดร้ายไปนิด เปิด 24 ชั่วโมง มีปลั๊กไฟทุกโต๊ะ (เก็บตังค์ 20 บาทต่อ 1 ปลั๊ก เสียบนานเท่าไหร่ก็ได้) ไวไฟแรงดี ถ้าไม่แรงก็หนีไป TRUE WiFi ได้ ข้อเสียคือร้านเล็กไปนิด ข้อดีคือของกินเยอะมาก ทั้ง MK, ชาบูนางใน, บาบีกอน, สเวนเซ่น ฯลฯ
- ร้าน NE8T: เป็นร้านนึงที่ชอบมาก เพราะสถานที่โล่ง กว้าง บรรยากาศน่านั่งทำงานสุด ๆ มีของกินและของหวาน เดินทางสะดวกสุด ๆ เพราะติด BTS ราชเทวี ปิด 4 ทุ่ม มีปลั๊กไฟ และไวไฟแรง ๆ แต่ข้อเสียคือตอนนี้เค้าปรับกฏการใช้ไวไฟว่าต้องซื้อเกิน XXX บาทถึงจะได้ไวไฟ X ชั่วโมง (จำไม่ได้ ประมาณ 200 ได้ 3 ชั่วโมง) ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าแพงไปนิดนึง เลยทำให้ความน่าไปลดลงเยอะ
- ร้าน Growth Cafe: ร้านนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม มีปลั๊กไฟ และไวไฟแรง ๆ หรือ TRUE WiFi ก็ได้ โลเคชั่นดีมาก อยู่บนชั้น 2 ลิโด้ ลง BTS สยามเดินนิดเดียว ทีเด็ดคือเค้ามีทั้งชั้นคาเฟ่ที่ซื้อกาแฟแล้วจะได้รหัสไวไฟ นั่งนานเท่าไหร่ก็ได้ กับชั้น Co-working ที่จ่ายรายวันแล้วนั่งได้จนร้านปิด (ปิดเที่ยงคืน) ชั้น Co-working มีขนม น้ำอัดลมฟรี และห้องน้ำในตัวเลยด้วย
- ห้องสมุด TCDC: อันนี้รุ่นน้องพาไปเปิดประสบการณ์มา เป็นห้องสมุดที่ชิก ๆ คูล ๆ และราคาเมมเบอร์ต่อปีไม่แพง ซึ่งพอไปแล้วก็ประทับใจมาก เพราะทุกโต๊ะมีปลั๊กไฟหมด ไวไฟก็แรง แถมมีหนังสือให้อ่าน รู้สึกสวรรค์มาก ๆ ได้ประหยัดค่าซื้อหนังสือต่างประเทศไปเยอะ ปี 2016 เลยสมัครรายปีไปแล้ว ตกเดือนละ 100 เอง คุ้มมาก
สรุปเรื่องเรียนต่อ
หลังจากพบว่าอังกฤษเค้าห้ามอยู่ทำงานต่อ ก็เลยเบนเข็มไปหาประเทศอื่น ๆ ช้อยส์ที่น่าสนใจคือเยอรมัน เพราะเรียนฟรี และทำงานต่อได้ แต่ก็ติดนิดนึงตรงที่ภาษาเยอรมันเรายังไม่ได้ T_T
หลังจากนั้นก็โดนสปอยล์โดยเพื่อนจ๋า เจ้าของกระทู้ฝึกงาน Spotify ชื่อดัง ให้ไปแอดมิชชั่นสวีเดน จนตอนนี้กำลังยื่นสวีเดนอยู่ ก็รอดูกันว่าผลจะเป็นยังไง
by
Tags:
Leave a Reply